ใครๆก็พูดกันว่าการไม่มีโรคเป็นลาปอันประเสริฐ ซึ่งก็เป็นจริงอย่างที่เค้าพูดกัน การเป็นโรคมีแต่ผลเสีย ทั้งเสียสุขภาพ เสียเงิน เสียทอง เสียเวลา ซึ่งปัจจุบันได้มีไวรัสที่เป็น โรคระบาด ออกมาจากประเทศจีน คือโคโรน่าไวรัส (Covit 19) ปัจจุบันเป็นไวรัสที่ยังไม่มีทางรักษาได้เลย ยอดผู้ติดเชื้อก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ยอดผู้เสียชีวิตก็เพิ่มขึ้นทุกวัน
เหมือนกันว่าธรรมชาติเองก็พัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลาเพื่อที่จะปราบมนุษย์ให้ได้ ไม่ว่ามนุษย์จะพัฒนาเทคโนโลยีไปได้ไกลสักเพียงใด ก็จะต้องมีโรคระบาดมาคร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย
ในวันนี้เราจะมาคุยกันเรื่อง โรคระบาด ร้ายแรงในอดีต ซึ่งบางโรคนั้นในปัจจุบันเราได้ยินชื่อโรคก็อาจจะแปลกใจว่ามันใช่โรคที่ทำให้คนเสียชีวิตและหวาดกลัวมากในอดีตจริงหรือ เพราะในปัจจุบันมันสามารถรักษาให้หายได้อย่างง่ายดาย แต่บอกไว้ก่อนเลยว่าในสมัยที่โรคเหล่านี้ยังไม่มีทางรักษานั้น มันคือฝันร้ายของคนในสมัยนั้นเลยทีเดียวเรามาย้อนรอยประวัติศาสตร์โรคระบาดกันเลยครับ
1. กาฬโรค หรือ มรณะดำ หรือ Black Death

เป็นโรคที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด มีสาเหตุเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย “เยอร์ซิเนีย เปสติส” (Yersinia pestis) โดยมีสัตว์ฟันแทะและหมัดเป็นพาหะนำโรค รวมถึงสามารถแพร่ในอากาศ ผ่านการสัมผัสโดยตรง หรือโดยอาหารหรือวัสดุที่ปนเปื้อน
ผู้ป่วยกาฬโรคจะมีอาการตามชื่อที่ถูกเรียกกันว่า “ความตายสีดำ” ก็คือ ตามร่างกายของผู้ป่วยจะมีสีดำคล้ำอันเนื่องจากเซลล์ผิวหนังที่ตายไป ส่วนอาการของผู้รับเชื้อกาฬโรคจะมีแผลขนาดเท่าไข่ไก่หรือผลส้มตรงต่อมน้ำเหลืองต่างๆ จากนั้นจะมีไข้สูง ปวดตามแขนและขา เมื่ออาการหนักจะเจ็บปวดทุกข์ทรมาน จนกระทั่งเสียชีวิต
ในอดีตมีการระบาดใหญ่ของกาฬโรคเกิดขึ้น 3 ถึงครั้ง
ช่วงที่ 1 ยุคกลางตอนต้น ในสมัยจักรวรรดิโรมันตะวันออก ในระหว่างปี ค.ศ. 541-542 เป็นการระบาดที่เรียกกันว่า “กาฬโรคแห่งจัสติเนียน”(Plague of Justinian) คาดกันว่ากาฬโรคซึ่งมีต้นกำเนิดในจีน แพร่กระจายสู่กรุงคอนสแตนติโนเปิล จากธัญพืชที่นำเข้าจากอียิปต์ และด้วยนครแห่งนี้มีหนูและหมัดเป็นจำนวนมากจึงระบาดอย่างรวดเร็ว ช่วงที่กาฬโรคระบาดถึงขีดสุด ชาวคอนสแตนติโนเปิลต้องเสียชีวิตอย่างน้อยวันละ 10,000 คน และสุดท้ายต้องเสียประชากรไปกว่า 40% ต่อมามันแพร่เข้าสู่เมดิเตอร์เรเนียนในปี ค.ศ. 588 ในดินแดนที่ปัจจุบันคือฝรั่งเศส นักวิจัยประเมินว่า กาฬโรคแห่งจัสติเนียน ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกมากกว่า 100 ล้านคน จำนวนประชากรในยุโรปลดลงกว่าครึ่งนึง ในช่วง ค.ศ. 541-700
ช่วงที่ 2 ในคริสตวรรษที่ 14 -19 คนในสมัยคริสตศตวรรษที่ 14 เรียกการระบาดนี้ว่า “Great Pestilence” (โรคระบาดครั้งใหญ่) หรือ “Great Plague” (กาฬโรคครั้งใหญ่) ซึ่งเริ่มต้นจากตอนใต้ของประเทศอินเดียและประเทศจีนระบาดไปตลอดเส้นทางสายไหม (Silk Road) กระจายไปทั่วเอเชีย, ยุโรป และแอฟริกา ในยุโรปเกิดการระบาดในช่วงปลายทศวรรษ 1340 สันนิษฐานว่า พ่อค้าชาวจีน-มองโกล ได้เป็นผู้นำเชื้อมาแพร่ในยุโรป ทำให้เกิดการแพร่ระบาดในยุโรปอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ที่อิตาลีมีการระบาดในช่วง ค.ศ. 1338 – 1351 ทำให้ประชากร 2 ใน 3 ของประเทศเสียชีวิต และในค.ศ. 1400 เกิดการระบาดใหญ่ที่กรุงลอนดอน มีคนตายถึง 70% จากจำนวนประชากร 450,000 คน เหลือเพียง 60,000 คน การแพร่ระบาดต่อเนื่องมาจนถึงคริสตศตวรรษที่ 17 เรียกกันว่า “แบล็กเดธ”(Black Death) การระบาดในยุโรปในช่วงนี้มีประชากรตายประมาณ 25 ล้านคน
ช่วงที่ 3 ศตวรรษที่ 19-20 ซึ่งเป็นการระบาดครั้งสุดท้าย เริ่มขึ้นที่มณฑลยูนนาน ประเทศจีน ในปี ค.ศ. 1855 มีการแพร่ระบาดไปทั่วทุกทวีปของโลก ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 12 ล้านคน ซึ่งตอนนั้นยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรค จนในค.ศ. 1894 แพทย์ชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ค้นพบเชื้อก่อโรคคือ เชื้อแบคทีเรีย Baicllus pestis เป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน ที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ฟันแทะและหมัด ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีอาการ 3 รูปแบบ คือ กาฬโรคปอด กาฬโรคต่อมน้ำเหลือง และกาฬโรคเลือด ซึ่งกาฬโรคทั้ง 3 ชนิดนี้ ทำให้เสียชีวิตได้ใน 5 – 6 วันหลังจากได้รับเชื้อ การติดต่อมาสู่คนเกิดขึ้นได้ 3 ทาง ได้แก่ การถูกหมัดที่มีเชื้อกัด การสัมผัสเนื้อเยื่อของสัตว์ที่ติดเชื้อ และการสูดดมสัมผัสสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจของสัตว์ที่ติดเชื้อ หลังจากค้นพบแบคทีเรีย นำไปสู่การคิดวิธีรักษากาฬโรค มีการพัฒนาและทดลองใช้วัคซีนต้านเชื้อกาฬโรคในต่อมน้ำเหลืองเป็นครั้งแรกในปี 1897 ปัจจุบันนี้กาฬโรคสามารถรักษาหายได้หากตรวจพบเร็วโดยใช้ยาปฏิชีวนะต่างๆ
2. ไข้หวัดใหญ่สเปน

เชื้อไข้หวัดใหญ่ที่คาดว่ามีต้นตอมาจากสัตว์ปีก โดยทฤษฎีแรกการกำเนิดของไข้หวัดใหญ่ชนิดนี้ คาดว่าเชื้อไวรัสน่าจะติดมากับกลุ่มแรงงานชาวจีน แล้วไปกลายพันธุ์ที่อเมริกา เมื่อทหารอเมริกาเดินทางไปรบในยุโรปช่วงปีค.ศ. 1917-1918 โรคนี้ก็ติดไปด้วย จากการที่ไวรัสนี้ติดต่อได้ทางอากาศ โรงทหารที่แออัด โรงพยาบาลที่เต็มไปด้วยผู้ป่วย และสภาพร่างกายอันอ่อนล้าของเหล่าทหาร ยิ่งทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
จากการศึกษาพบว่าไวรัส Influenza A H1N1 เป็นไวรัสที่ทำให้เกิดโรคไข้หวัดสเปน ผู้ป่วยที่ติดเชื้อจะมีไข้ จาม คลื่นไส้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และท้องเสีย ซึ่งเป็นอาการแรกเริ่มของไข้หวัดใหญ่ทั่วไป แต่หลังจากนั้นช่วงปี 1918 ไวรัสที่ได้มีวิวัฒนาการอย่างรวดเร็วก็กลายเป็นสายพันธุ์ใหม่และมีความร้ายแรงกว่าเก่า ผู้ป่วยที่มีอาการไข้หวัดจากไวรัสสายพันธุ์ใหม่จะมีอาการร้ายแรงลงอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นจะเริ่มหายใจไม่ออก และเสียชีวิตลงด้วย 2 สาเหตุหลัก อย่างแรกคือภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อไวรัสรุนแรงเกินไป ทำให้ทำลายส่วนอื่นๆของร่างกายด้วย และอย่างที่สองคือการติดเชื้อในปอด มีจำนวนผู้เสียชีวิตรวมทั่วโลกถึง 100 ล้านคน มากกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 1 หลายเท่า
ในยุโรปมีการปิดข่าวเรื่องผู้เสียชีวิต เนื่องจากยังอยู่ในช่วงสงคราม เกรงว่าทหารจะเสียขวัญกำลังใจ ประเทศที่รายงานเรื่องนี้ประเทศเดียวคือสเปน เพราะเป็นกลางในช่วงสงคราม จึงได้ชื่อว่าไข้หวัดใหญ่สเปน
3. อหิวาตกโรค

อหิวาตกโรค เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Vibrio cholerae ที่ลำไส้เล็ก ผู้ป่วยจะมีอาการท้องร่วงเป็นน้ำและอาเจียนเป็นหลัก เป็นโรคระบาดประจำถิ่นของประเทศในทวีปเอเชียและทวีปอินเดีย โดยเฉพาะในลุ่มแม่น้ำคงคา ที่เป็นแม่น้ำสายหลักในการดำรงชีวิต ก่อให้การระบาดไปสู่ภูมิภาคอื่นๆของโลก ตามเส้นทางค้าขายทั้งทางบกและทางเรือ ซึ่งการระบาดครั้งใหญ่ๆ ในโลก แบ่งได้เป็น 7 ครั้ง ได้แก่
การระบาดครั้งที่ 1 พ.ศ. 2359-2369 ถือว่าเป็นการระบาดใหญ่ครั้งแรกในโลก โดยเริ่มจากเบงกอล แพร่ขยายไปสู่ทวีปอินเดีย จีน และคาบทะเลแคสเปียน
การระบาดครั้งที่ 2 พ.ศ. 2372- 2394 เป็นการแพร่ระบาดในทวีปยุโรป โดยเฉพาะอังกฤษและฝรั่งเศส ในปีพ.ศ. 2374 มีผู้เสียชีวิตที่มหานครลอนดอนด้วยอหิวาตกโรคสูงถึง 6,536 คน ที่กรุงปารีสมีผู้เสีย ชีวิตประมาณ 20,000 คน การระบาดครั้งนี้แพร่กระจายขึ้นไปจนถึงประเทศรัสเซีย ข้ามไประบาดถึงเควเบ็ค ออนตาริโอ แคนาดา และนครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา และข้ามประเทศไประบาดถึงฝั่งแปซิฟิคของสหรัฐ ในปีพ.ศ. 2377
การระบาดครั้งที่ 3 พ.ศ. 2395 – 2403 การระบาดครั้งนี้ส่วนใหญ่จะเกิดในประเทศรัสเซีย มีจำนวนผู้เสียชีวิตสูงถึงล้านคน ในปีพ.ศ. 2397 เกิดการระบาดของอหิวาตกโรคในนครชิคาโก้ สหรัฐอเมริกา ทำให้มีผู้เสียชีวิต ประมาณ 3,300 คน
การระบาดครั้งที่ 4 พ.ศ. 2406 – 2418 ส่วนใหญ่เป็นการระบาดในทวีปยุโรป และแอฟริกา โดยพ.ศ. 2409 มีการระบาดหนักที่ประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ และมหานครลอนดอน ที่มีการระบาดกระจายไปหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในย่าน อีสท์ เอ็นด์ (East End) ทำให้มีคนตายถึง 5,596 คน และในกรุงอัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์ มีผู้เสียชีวิตประมาณ กว่า 21,000 คน
การระบาดครั้งที่ 5 พ.ศ. 2424 – 2439 มีการระบาดใหญ่ที่นครฮัมบวร์ก เยอรมนี พ.ศ. 2435 ทำให้มีผู้เสียชีวิตสูงถึง 8,600 คน ซึ่งการระบาดครั้งนี้ นับว่าเป็นการระบาดที่รุนแรงครั้งสุดท้ายในทวีปยุโรป
การระบาดครั้งที่ 6 พ.ศ. 2442 – 2466 การระบาดครั้งนี้จะเกิดขึ้นในประเทศรัสเซียและประเทศในกลุ่มอาณาจักรอ็อตโตมันเป็นส่วนใหญ่ ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
การระบาดครั้งที่ 7 พ.ศ. 2504 – 2513 การระบาดครั้งนี้เริ่มที่เมืองสุละเวลี อินโดนีเซีย แพร่ระบาดไปถึงบังคลาเทศ เข้าสู่อินเดีย ในปีพ.ศ .2507 และสหภาพโซเวียต ในปีพ.ศ. 2509 ในขณะเดียวกันเกิดการระบาดในญี่ปุ่น ประเทศในหมู่เกาะแปซิฟิคใต้ ประเทศในแอฟริกาเหนือ และแพร่ไปยังประเทศอิตาลี ในปี พ.ศ. 2515 ซึ่งหลังจากนั้นไม่มีรายงานการระบาดที่รุนแรงเกิดขึ้น
4. วัณโรค

วัณโรค (Tuberculosis) หรือโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ผู้ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อได้โดยการไอ หรือ จาม หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ผู้ติดเชื้อจะมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 50% ลักษณะอาการที่พบคือไอเป็นเลือด มีไข้ มีเหงื่อออกเยอะตอนนอน
การระบาดที่น่าสนใจในยุคนี้นั้นเกิดขึ้นในปีค.ศ. 2007 มีผู้เป็นวัณโลกสูงถึง 13.7 ล้านคนทั่วโลก แม้ผู้ป่วยส่วนมากจะอยู่ในทวีปแอฟริกาและเอเชีย แต่ในทวีปยุโรปและอเมริกาก็ยังถือว่าพบได้มากอยู่ในปีนั้น
แต่ในอดีตนั้น วัณโรคเป็นโรคที่ระบาดเยอะมากในทวีปยุโรป โดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่ 18-19 ประชากร 25% ของทวีปยุโรปเสียชีวิตจากวัณโรค ทั้งชนชั้นสูงและบุคคลมีชื่อเสียงต่างก็เสียชีวิตด้วยโรคนี้กันมากมาย
5. เอดส์ (AIDS)

เอดส์ หรือเชื้อไวรัส HIV เป็นเชื้อที่ทำให้ระบบภูมิต้านทานบกพร่อง จนสุดท้ายก็เสียชีวิตจากภาวะโรคแทรกซ้อน คาดกันว่าเชื้อนั้นกลายพันธุ์มาจากไวรัสที่ทำให้เกิดโรคในสัตว์ประเภทลิง เช่น ชิมแปนซี หลังจากนั้นไวรัสเหล่านั้นอาจติดเข้ามาในคน โดยเริ่มแรกเป็นไวรัสที่ทำให้เกิดเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในคนเท่านั้น ต่อมาจึงกลายพันธุ์เป็นโรคเอดส์
เชื้อ HIV สามารถติดต่อได้ทาง เลือด อสุจิ สารคัดหลั่งในช่องคลอด หรือน้ำนม สาเหตุใหญ่ของการแพร่กระจายเชื้อ คือการมีเพศสัมพันธ์โดยที่ไม่ได้ป้องกัน เข็มฉีดยาที่ปนเปื้อน การติดเชื้อจากแม่สู่ลูกผ่านทางการให้น้ำนม เลือดที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส HIV จากการบริจาคให้ธนาคารเลือด
แม้จะระบาดไปถึงทั่วทุกมุมโลกในปัจจุบัน และทำให้มีผู้ติดเชื้อสูงถึง 35 ล้านคน โดยบริเวณที่ระบาดหนักที่สุดคือในทวีปแอฟริกา โดย 2 ใน 3 ของประชากรในแอฟริการติดเชื้อ HIV
ช่วงเวลาที่ระบาดหนักที่สุดคือในปีค.ศ. 2005 ที่มีผู้เสียชีวิตจากโลกเอดส์สูงถึง 2.2 ล้านคนทั่วโลก ปัจจุบันก็ยังไม่มีผู้คิดค้นยารักษาชนิดนี้ได้ มีเพียงยาต้านไวรัส ที่ช่วยลดปริมาณเชื้อ HIV ในร่างกายและทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น ผู้ติดเชื้อ HIV ไม่จำเป็นต้องเป็นเอดส์เสมอ มีผู้ติดเชื้อ HIV หลายคนไม่ได้เป็นเอดส์ มีสุขภาพที่ดี และสามารถมีลูกได้ โดยลูกและคู่ชีวิตไม่ได้ติดเชื้อ HIV ไปด้วย